วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

ความฝัน กับ ความตาย

ความฝัน กับ ความตาย



ความฝัน กับ ความตาย มีส่วนที่คล้ายกันคือ เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดขึ้น หรือไม่ อย่างไร
ความฝัน คือความอยากมี อยากได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือความสำเร็จ มนุษย์ทุกคนต่างก็มีความฝัน บ้างก็ฝันใหญ่ บ้างก็ฝันเล็ก แล้วก็อยู่ที่ว่าเราจะวิ่งตามฝันของเราได้สำเร็จหรือไม่ บางคนฝันอยากทำโน้นทำนี่ แต่มิเคยพยายาม หรือกระทำอะไรเลยที่บ่งบอกว่า จะทำฝันนั้นให้สำเร็จ ทุกคนมีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์ฝัน แต่ถ้าฝันแล้วไม่ทำก็ไม่ต่างกับ คนเพ้อเจ้อ แต่ในทางกลับกัน บางคนมีความฝันและก็มุ่งมั่นที่จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริง พรากเพียรพยายามที่จะวิ่งไปให้ถึงฝันที่ตนตั้งไว้ นับว่าน่านับถืออย่างยิ่ง
จริงอยู่ฝันเป็นเรื่องของอนาคต ที่ยังมาไม่ถึง เป็นเรื่องที่ไม่มีใครตอบคุณได้ว่าสิ่งที่คุณฝันนั้นจะเป็นจริงได้หรือไม่  สิ่งที่คุณวาดฝันในปัจจุบันมันจะกลายเป็นเรื่องจริงหรือไม่ในอนาคต มีเพียงตัวคุณเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้ ด้วยการกระทำของคุณเองในปัจจุบัน
ความตาย เคือสิ่งที่มุนษย์ทุกคนบนโลกใบนี้มิสามารถหลีกหนีมันไปได้ เมื่อมีเกิดก็ย่อมมีดับ ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกลาเมื่อที่ใดมี ความตาย เกิดขึ้น นั้นหมายถึงว่าสิ่งที่ตามมาคือ ความโศรกเศร้า เสียใจ การจากลา การพลัดพรากชั่วนิรัน ดังนั้นคงไม่มีใครที่อยากให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นกับตนเองหรอก จริงไหม? ความตายก็เป็นเรื่องของอนาคตเช่นกัน แต่ต่างกับความฝันตรงที่ว่า เป็นสิ่งที่มิใช่ความปรารถนาของมนุษย์ ไม่มีใครอยากตาย ไม่มีใครหวังว่าจะต้องตาย ไม่มีใครอยากที่จะพรัดพพรากจากสิ่งที่ตนรักหรอก ความตาย เวลามามันไม่เคยมีหนังสือแจ้งล่วงหน้าว่าคุณจะต้องตายในวันที่เท่านี้นะ อาจจะมีแค่การคาดคะเนที่ใกล้เคียงในกรณีที่คนๆนั้นกำลังป่วย แต่ก็คงไม่เคยมีแพทย์คนไหนบอกว่าผู้ป่วยท่านนี้จะต้องตายในวันที่เท่านี้ๆได้หรอก
ความตาย กับ ความฝันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร สองสิ่งนี้เป็นเรื่องของอนาคต แต่สิ่งหนึ่งคือสิ่งที่มนุษย์อยากให้เป็นจริง ส่วนอีกสิ่งมนุษย์มิได้หวังให้เกิดขึ้นจริง สองสิ่งนี้เชื่อได้ว่าทุกคนต้องมีความรู้สึกเช่นนี้ด้วยเช่นกัน เราทุกคนมีฝัน อยากให้ฝันเราสำเร็จ แต่เราก็ไม่อยากที่จะตาย
คุณหละมีความฝันอะไรไหม แล้วได้พยายามทำให้ฝันของคุณสำเร็จหรือยัง ผู้เขียนมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่อยากจะยกตัวอย่างให้เห็นถึงความพยายามที่จะวิ่งตามฝัน จนวันหนึ่งสิ่งที่เขาฝันนั้นก็สำเร็จ แต่สิ่งที่ตามมาเร็วเกินไปนั้นคือ ความตาย
เขาชื่อ นาย อรรถเดช กิจวาศน์ ชื่อเล่น เดช เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผู้เขียนเอง เพื่อนคนนี้เรียนจบปริญญาตรีช้ากว่าเพื่อนๆเกือบ สามปี เพราะในตอนแรกที่เราจบมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ทุกคนก็ได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยต่างๆกัน เดชก็เช่นกัน แต่เดชเป็นคนที่ฝันอยากทำหนัง อยากทำงานเกี่ยวกับภาพยนต์ ดังนั้นตอนที่เราเรียนจบ ม.6 กันมาเดชได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครแต่ในช่วงนั้นเดชก็ได้ตั้งใจอ่านหนังสือ เพื่อหวังที่จะเอนทรานอีกรอบ เพื่อเข้าคณะที่ตัวเองฝันไว้ให้ได้ แล้วเขาก็ทำสำเร็จ ในที่สุดเดช ก็สามารถสอบเข้า คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และวิดีโอ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง ดังนั้นการที่เดช จะเข้าเรียนนั้น แสดงว่าเค้าจะต้องช้าไปกว่าเพื่อนๆ 2 ปี เพราะตอนที่เดชได้เข้าเรียนที่ลาดกระบังนั้น ทุกคนอยู่ชั้นปีที่สองกันแล้ว เขาทำให้เห็นว่า ไม่ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน เขาไม่เคยทิ้งความฝัน ยังคงพยายามวิ่งตามฝันอยู่ตลอดเวลา จนวันนึงก็ได้เรียนในสิ่งที่ตนชื่นชอบ
จากความฝันที่อยากทำงานเกี่ยวกับภาพยนต์ ถึงตอนนี้เขาได้เริ่มเข้าใกล้มันไปทุกทีแล้ว จนวันนึงที่เขาสำเร็จการศึกษา เขาได้พยายามที่จะหางาน ตามที่ต่างๆเพื่อให้ตรงกับสายงาน แล้ววันนี้ก็มาถึง เข้าได้เข้าทำงานที่ พร้อมมิตร โปรดักชั่น เป็นบริษัทจำกัดที่ผลิตงานประเภทภาพยนตร์ไทย และสื่อบันเทิงประเภทต่าง ๆ ก่อตั้งขึ้นโดย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ ท่านมุ้ย เข้าได้เดินทางเข้าใกล้ความฝันเขาอีกก้าวหนึงแล้ว จนล่าสุดเดช ได้เป็นส่วนหนึ่งของ อภิมหากาพย์ภาพยนตร์ไตรภาคที่ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์ ตํานานสมเด็จนเรศวรมหาราช ภาค 3 ในฐานะ ผู้ช่วยผู้กำกับการแสดง แทบจะกล่าวได้ว่าสิ่งที่เขาฝันมาตลอดชีวิตนั้นเป็นความจริงแล้ว เขาได้ทำงานภาพยนต์อย่างที่เขาฝันมานาน แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นั้นคือ ในวันที่มีการฉายรอบ Royal gala premier ณ วันที่ 25 มีนาคม 2554 ณ ศาลาเฉลิมกรุง หลังจากการฉายหนังรอบอันทรงเกียรติได้จบลง เข้าได้เดินทางกลับบ้าน แต่ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ บนมอเตอร์เวย์ เสียชีวิตในทันที ตำรวจสันนิฐานว่า น่าจะเกิดจากหลับใน เส้นทาง ความฝันในวงการภาพยนต์ได้จบลง อย่างคาดไม่ถึง
เมื่อทุกคนได้ทราบข่าวการจากได้ของเพื่อนคนนี้ก็แทบจะไม่เชื่อในตอนแรก เพราะเป็นการจากไปชั่วนิรัน เป็นการจากไปที่ไม่มีการร่ำลา ไม่มีสัญญาณบอกเหตุ มันกระทันหันเกินไป เกินว่าที่ทุกคนจะรับได้
แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วคือ ความฝัน ของเดชที่เดชฝันแล้วก็ได้ทำสำเร็จแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ทันได้อยู่ดูความสำเร็จของตนว่าสำเร็จเพียงใด
ดังนั้นเมื่อมองกลับมาดูที่เราๆท่านๆทุกคนหละ คุณมีฝัน แล้วได้พยายามทำให้ฝันคุณเป็นจริงหรือยัง คุณได้พยายามวิ่งตามฝัน หรือว่าคุณฝันแต่กลับนั่งรอให้ความฝันมาหาคุณหรือเปล่า อย่าลืมนะว่าความตายเวลามันมา มันไม่เคยบอกก่อนล่วงหน้า ดังนั้นรีบซะ รีบทำสิ่งที่คุณฝันให้เป็นจริง ก่อนที่คุณจะไม่มีโอกาส ก่อนที่วันนึงความตายจะมาพรากคุณไปจากความฝัน
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนอยากจะขอเวลาเล็กน้อยของทุกท่านที่ชมภาพยนต์เรื่อง ตํานานสมเด็จนเรศวรมหาราช ภาค 3 ว่า เมื่อทุกท่านชมจบ อยากจะขอให้อยู่ต่ออีกซักนิดเพื่อดูรายชื่อทีมงาน นักแสดง อยากให้อยู่ดูรายชื่อของทีมงานที่พรากเพียร ทำจนภาพยนตร์เรื่องนี้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แล้วคุณก็จะได้เห็นชื่อของคนๆนี้รวมอยู่ด้วย ผู้ช่วยผู้กำหับการแสดง นายอรรถเดช กิจวาศน์ บุคคลที่ไม่มีแม้โอกาสที่จะได้อยู่ดูความสำเร็จของตนเอง ก็คงจะมีเพียงแค่เราๆท่านๆนี้แหละที่จะได้เห็นชื่อของเขา

ขออาลัยให้กับการจากไปของเพื่อนเดช การจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา ขอให้เพื่อนไปสู่สุขติ